รีวิวหนัง Spiderhead เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอนาคตอัน ในเรือนจำอันล้ำสมัยที่บริหารโดย สตีฟ แอบเนสตี้ ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ผู้ต้องขังต้องสวมอุปกรณ์ผ่าตัดที่ติดอยู่กับตัวเพื่อรับยาเปลี่ยนอารมณ์เพื่อแลกกับการประนีประนอม ที่นี่ไม่มีบาร์ ไม่มีการกักขังและไม่มีชุดนักโทษสีส้มในกรงขัง อาสาสมัครที่ถูกจองจำมีอิสระที่จะเป็นตัวของตัวเองเสมอ
จนถึงเวลาที่อาจจะไม่มีอิสระ บางครั้งเป็นตัวของตัวเองในทางที่ดีขึ้น ต้องการที่จะผ่อนคลายที่นี่มียาช่วย พูดไม่ได้มียาที่ช่วยได้เช่นกัน แต่เมื่อนักโทษสองคน เจฟฟ์และลิซซี่ ผูกพันกันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เส้นทางสู่การไถ่ถอนยิ่งพลิกผันมากขึ้น เมื่อการทดลองของแอบเนสตี้เริ่มเกินขอบเขตของเจตจำนง
เรื่องราวนี้เป็นการดัดแปลงจากเรื่องสั้นดิสโทเปียของจอร์จ แซนเดอร์ที่ตีพิมพ์ใน The New Yorker โดยมีเรตต์ รีส และพอล เวอร์นิค นักเขียนจาก Deadpool ผู้เขียนบท พูดตรงๆ Spiderhead มีแนวคิดที่น่าสนใจทีเดียว แต่ภายในโครงสร้างเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานของตัวเอง ออกมาเป็นหนังไซไฟระทึกขวัญที่เต็มไปด้วยความลึกลับ
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีโทเปียตามบทความต้นฉบับ แน่นอนว่าเป็นคำถามที่ยากมากในการสร้างภาพยนตร์ที่จะดึงดูดความสนใจของผู้ชม ต้องสารภาพว่าครึ่งแรกของหนังที่ถ่ายทำค่อนข้างน่าเบื่อ ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามแทรกข้อมูลในรูปแบบทดลองเข้าสู่ผู้ชมในลักษณะที่ไม่มีพื้นฐานอยู่ในนั้น จึงเป็นองค์ประกอบที่ผู้ชมอาจไม่รู้สึกในส่วนนี้มากนัก
นักแสดงทุกคนแสดงบทบาทได้ดี “ไมล์ส เทลเลอร์” เปล่งประกายด้วยมนต์เสน่ห์ ขณะที่ “คริส เฮมส์เวิร์ธ” พยายามพลิกโฉมตัวละครของตัวเองใหม่เช่นเดียวกับ “Journey Smollett-Bell” ได้รับการถ่ายทอดอย่างดี แม้ว่าบทบาทโดยรวมของแต่ละคนจะถูกนำเสนอในระดับผิวเผินเท่านั้นแม้ว่าจะสามารถบดขยี้จุดเรื่องราวได้มากกว่านี้ก็ตาม
อย่างที่กล่าวไว้มันจะเป็นงานที่ยาก ในการหาวิธีเล่าเรื่องในภาพยนตร์ Spiderhead อย่างกลมกล่อม อิงจากเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความแซ่บที่มีนัยยะหลายอย่างแต่หนังยังไม่ถึงจุดนั้น แม้ว่าจะมีองค์ประกอบที่น่าสนใจมากมายให้ค้นหาและสามารถขยายเพิ่มเติมได้มากกว่านี้ สุดท้ายกลับกลายเป็นเพียงละครลึกลับเรื่องเดิมๆ ที่เราเคยดูและไม่เคยดูจนจบ
Spiderhead จริง ๆ แล้วไม่ใช่หนังที่ไม่ดี แต่ก็ยังไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบ กับปัญหาของหนังที่เล่าเรื่องให้ติดตามได้ค่อนข้างยาก อัดแน่นด้วยคอนเซปต์เท่ๆ แต่แฝงไปด้วยความทะเยอทะยาน แนวทางการทดสอบสารเสพติดในภาพยนตร์และความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครในภาพยนตร์ยังไม่ได้รับการผสมผสานเป็นอย่างดี จึงทำให้หนังดูมีองค์ประกอบหลักที่โดดเด่น แต่พอใส่หนังยาวแล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยเด่นเลยทำให้ไม่น่าประทับใจเท่าที่ควรกับหนังเรื่องนี้แต่ดูเพลินๆ ก็ได้อารมณ์ฟีลลิ่งอนาคตได้อยู่